ยางรถยนต์

“ลมยาง” สิ่งสำคัญที่สุดของรถที่มักจะถูกมองข้ามไปเสมอๆ เรามาทำความรู้จักลมยางกันดีกว่าว่าทำหน้าที่อะไรและจะดูแลเจ้าสิ่งสำคัญนี้อย่างไร
• ลมยางทำหน้าที่อะไร
ช่วยรถรับน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุก ช่วยลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ทำให้สะดวกสบายในการขับขี่ ความดันลมยางที่เหมาะสม ทำให้ประสิทธิภาพของยางสูงขึ้น และทำให้ปลอดภัยเพิ่มขึ้นและช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
• ลมยางซึมออกได้เองหรือไม่
โดยปรกติความดันลมยางจะลดต่ำลงได้เองตามธรรมชาติ เปรียบเทียบง่ายๆ เมื่อเราสูบลมเข้า ไปในลูกโป่งให้ตึง ปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน วันรุ่นขึ้นจะสังเกตเห็นว่าลูกโป่งแฟบหรือเล็กลง ยางรถยนต์ก็เช่นกัน ลมยางจะซึมออกโดยตัวมันเอง ดังนั้นควรหมั่นตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อจะได้รู้ค่าความดันลมยางและเติมลมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
• ถ้าวิ่งบนถนนที่ขรุขระมากๆ ควรเติมลมอย่างไร
ควรลดความดันลมยางลงเล็กน้อย (ในขณะที่ยางยังเย็นอยู่) และขับขี่ด้วยความระมัดระวัง จะทำให้ขับขี่ได้นุ่มนวลขึ้นและลดแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ขรุขระได้ดียิ่ง ขึ้น แต่เมื่อกลับมาวิ่งบนถนนเรียบทั่วไป ก็ควรเติมลมยางให้ได้มาตรฐานดังเดิม
ถ้าเปลี่ยนขนาดยาง ควรเติมลมเท่าไหร่
หากยางเส้นใหม่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใกล้เคียงขนาดเดิมแล้ว ลมยางในคู่มือประจำรถจะเป็นค่า มาตรฐานที่เหมาะสมและผ่านการทดสอบจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์แล้วว่า สามารถทำหน้าที่รับ น้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกได้อย่างปลอดภัยต่อการใช้งาน แต่ถ้าไม่เท่าควรถามจากบริษัทผลิตรถยนต์หรือศูนย์บริการยางที่ได้มาตรฐาน
• การเติมลมด้วยก๊าซไนโตรเจนมีข้อดีอย่างไร
ก๊าซไนโตรเจน (N2) เป็นก๊าซที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่กว่าและมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาน้อย กว่า ก๊าซออกซิเจน (O2) เมื่อใช้เติมเข้าไปในยางรถยนต์แทนอากาศปกติ จะมีข้อดีดังนี้
1. การซึมออกของลมยางจะลดลง จึงไม่ต้องเดิมลมยางบ่อยๆ
2. ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของโครงยางและกระทะล้อ
3. คงความนุ่มนวลของยางแม้วิ่งระยะทางไกล เนื่องจากการขยายตัวของก๊าซไนโตรเจนมีต่ำ
อย่างไรก็ตาม ควรตรวจเช็คความดันลมยางเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ขณะที่ยางยังเย็นอยู่ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน ส่วนข้อเสียคือราคาค่าเติมที่แพงกว่า การเติมลมปกติมาก ซึ่งรถที่วิ่งในสภาพการใช้งานปกติไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติมก๊าซในโตรเจน แต่อย่างใด
• กลับมาเติมลมยางด้วยอากาศได้อีกหรือไม่
การเปลี่ยนมาเติมลมยางด้วยอากาศทั่วไปภายหลังจากที่เติมด้วยก๊าซไนโตรเจน แล้ว ไม่มีข้อเสียหายใดๆ หากแต่เมื่ออากาศปกติถูกเติมเข้าไปจะทำให้คุณสมบัติและ ประสิทธิภาพของก๊าซไนโตรเจนเจือจางลง การเติมลมยางด้วยก๊าซไนโตรเจนต่อไปจึงสามารถคงคุณสมบัติของก๊าซไนโตรเจนไว้ ได้


การสลับยาง
การ แลกเปลี่ยนด้านหน้าและยางกลับ โดยผมหมายถึงความลึกดอกยาง เป็นจุดที่ต้องดู หากไม่สามารถซื้อคู่ใหม่ของยางเมื่อคู่เก่าใช้่มากเกินไปแล้วก็ไม่ควรจะอยู่ บนท้องถนน คนเดียวหลอกตัวเองว่าใส่ยางหน้าใส่ใน กลับและใส่บางส่วนหลังยางด้านหน้าจะแก้ปัญหาของคุณ ดังนั้น วิธีที่คุณควรสลับยางของคุณ โดยทั่วไปคุณควรจะหมุนสลับยางทุกๆ 5,000 ไมล์ (8,000 กม. )


การอ่านเครื่องหมายแก้มยาง


A
ผู้ผลิตหรือชื่อแบรนด์และชื่อทางการค้าหรือเอกลักษณ์

B
ขนาดยาง การสร้างและระดับความเร็ว ยางที่ไม่ต้องยางใน ดูขนาดยางและการจัดอันดับความเร็วต่ำกว่า ยาง DIN - type เครื่องหมายยังมีดัชนีโหลดเข้ารหัสในนั้น เหล่านี้ไปจากดัชนีโหลด 50 (190kg) ถึงดัชนีของ 169 (5800kg)

C หมายถึงชนิดของการสร้างยางรถยนต์

D M & S หมายถึงยางรถที่ออกแบบมาสำหรับโคลนและหิมะ เสริมการทำเครื่องหมายเฉพาะที่ใช้

E
เครื่องหมาย ความดันลมยาง

F
ECE (ไม่มี EEC) เครื่องหมายรับรองชนิดและจำนวนของยาง

G
North American ฝ่ายขนส่งและสัญลักษณ์ตามหมายเลขประจำยางเส้นนั้น ๆ

H ผลิตในประเทศใด

นอกจากนี้คุณยังอาจพบสิ่งต่อไปนี้นูนอยู่ในยาง

- ระดับอุณหภูมิของยาง เป็นตัวบ่งชี้ว่ายางทนความร้อนได้ดีเท่าใด โดยมีระัดับ A ทนความร้อนดีที่สุด และ C ทนความร้อนต่ำสุด

- คะแนนตัวชี้วัดว่ายางสามารถหยุดรถได้บนถนนเปียกชื้น ได้ดีเพียงใด โดยมีระดับ AA เป็นระดับที่ดีที่สุด และ C เป็นระดับที่ต่ำสุด

- คะแนนความสึกหรอของยาง
เปรียบเทียบคะแนนสำหรับอายุของยาง ยางแต่ละเส้นมีคะแนนความสึกหรอของดอกยาง 200

เครื่องหมายเพิ่มเติม
Star ยางสำหรับรถยนต์ BMW
A/S ยางสำหรับทุกฤดูกาล
A/T ยางสำหรับทุกภูมิประเทศ
C ยางสำหรับการพาณิชย์/ยางสำหรับรถยนต์นั่ง
BSW ยางแก้มดำ
LT ยางสำหรับรถบรรทุกขนาดเล็ก
EL ยางสำหรับรถบรรทุกของน้ำหนักมาตรฐาน


สัญญลักษณ์ขนาดยาง


185 ความกว้างหน้ายาง

65 อัตราส่วนความสูงของแก้มยาง

H ความเร็วสูงสุด(210 กม./ชม.)

R ยางเรเดียล

13 ความกว้างของขอบล้อ



185 ความกว้างหน้ายาง

65 อัตราส่วนความสูงของแก้มยาง

R ยางเรเดียล

13 ความกว้างของขอบล้อ

91 ดัชนีน้ำหนัก

H ความเร็วสูงสุด (210 กม./ชม.)

credit :: http://www.carbibles.com/

credit :: http://www.carbibles.com

Labels:



comment closed